กฎหมายเกี่ยวกับผู้หญิง
ความผิดเกี่ยวกับเพศ
ความผิดฐานอนาจาร คือ การกระทำไม่สมควรทางเพศ เช่น การกอดปล้ำจับหน้าอก เป็นต้น หรือแม้แต่การเปิดกระโปรงสาวๆก็เป็นความผิดเช่นกันเด็กชายหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี : ถึงแม้จะยินยอมก็ถือเป็นความผิดฐานอนาจาร
ชายหญิงอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี : หากยินยอมไม่ถือว่าเป็นความผิด
ชาย-ชาย หรือ หญิง-หญิง : จะมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยการขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่นเพื่อสนองความใคร่ของตน (สำนักงานกฎหมายยุติธรรมกับกฎหมายสามัญประจำบ้าน,2555,หน้า 42)
กฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศ : จากกรณีเด็กหญิงรายหนึ่งถูกคนร้ายทำร้ายร่างกายและพยายามข่มขืน เพื่อป้องกันพวกวิปริตจิตกุศล และการระวังตัวของสตรีโดยเฉพาะเด็กหญิงให้ระวังภัยคุกคาม กฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการขู่เข็ญ ทำร้ายร่างกาย ทำให้อยู่ในภาวะจำยอม เช่น มัดมือมัดเท้า และกระทำชำเราโดยเราไม่ยินยอม กฏหมายบัญญัติความผิดฐานกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตน ผู้กระทำความผิดและผู้มีส่วนรู้เห็นจะมีโทษจำคุก 4-20ปี ปรับตั้งแต่ 8,000-40,000 บาท และหากใช้อาวุธปืน ระเบิด หรือรุมโทรมหญิง จะมีโทษจำคุกขั้นต่ำ 10 ปี หรือ ตลอดชีวิต
(ณรงค์เดช สรุโฆษิต,กฎหมายสามัญประจำบ้าน,2552,หน้า38)
กฎหมายโทรมหญิง : จากข่าวสาวหน้าตาดีคนหนึ่งขี่จักรยานยนต์มาคนเดียว จากนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นชายขี่ตามประกบและถีบรถของหญิงสาวล้ม พาเข้าข้างทางและยัดเยียดความเป็นสามี เท่านั้นยังไม่พอ ยังพาเพื่อนมารุมข่มขืนอีกหลายคน
การกระทำชำเราผู้อื่นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ถือเป็นความผิดฐานรุมโทรม โทษก็จะหนักกว่าความผิดฐานข่มขืนคนเดียว คือ จำคุก 15-20 ปี ปรับ 30,000 – 40,000 บาท หรือถ้ามีพฤติกรรมแรงมากๆ ก็อาจถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต (ณรงค์เดช สรุโฆษิต,กฎหมายสามัญประจำบ้าน,2552,หน้า38)
กฎหมายเกี่ยวกับเสรีภาพ : เช่น การข่มขืนใจผู้อื่น คือ การบังคับให้ทำหรือไม่ทำสิ่งใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดๆ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เสรีภาพ โดยใช้กำลังประทุษร้ายให้ผู้ถูกข่มขืนใจต้องยินยอม ถือว่าเป็นความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่น
ความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว โดยการถูกกักตัวไม่ให้ออกไปไหน หรือทำให้ขาดเสรีภาพ เช่น มัดมือมัดเท้า ใส่กุญแจมือ ถือเป็นความผิดฐานกักขังหน่วงเหนียว
กฎหมายครอบครัว
กฎหมายการหมั้น : แต่คิดจะแต่งงาน จะทำการหมั้นก่อนหรือไม่ก็ได้ ก่อนจะหมั้นกัน ฝ่ายชายจะต้อให้ของหมั้นแก่บิดามารดาของฝ่ายหญิง การหมั้นจึงจะสมบูรณ์ เพราะหากไม่ให้ของหมั้น การหมั้นนั้นถือเป็นโมฆะ
(สำนักงานกฎหมายยุติธรรมกับกฎหมายสามัญประจำบ้าน,2555,หน้า 92)
1.อายุคู่หมั้น : กำหนดอายุว่า ชายหญิงต้องมีอายุไม่ต่ำว่า 17 ปีบริบูรณ์
ถ้าอายุไม่ถึง ถือว่าการหมั้นเป็นโมฆะ ชายหญิงจะอยู่ในฐานะเดิม ฝ่ายชายเรียกคืนของหมั้นได้
2.การหมั้นของผู้เยาว์ จะต้องได้รับการยินยอมจากบิดามารดา ผู้รับบุญธรรม หรือผู้ปกครอง เพราะการหมั้นที่ฝ่าฝืนความยินยอม การหมั้นถือเป็นโมฆะ
การสมรส : เป็นการจดทะเบียนสมรส จะเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน คือ
สินส่วนตัว – เป็นของส่วนตัว เจ้าของตัดสินใจกระทำการได้เลย โดยสินทรัพย์นี้จะได้มาก่อนการจดทะเบียนสมรส รวมทั้งมรดก หรือการให้ของกันตอนคบกัน โดยไม่เจาะจงว่าเป็นสินสมรส ของหมั้นของฝ่ายหญิง เครื่องใช้สอย เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ หรือมือประกอบอาชีพ
สินสมรส – เป็นของสามีภรรยา จะทำจัดการใดๆต้องได้รับความยินยอมของสองคน
เป็นสินทรัพย์ที่สองฝ่ายได้มาหรือหาร่วมกันมาหลังจดทะเบียนสมรส
(สำนักงานกฎหมายยุติธรรมกับกฎหมายสามัญประจำบ้าน,2555,หน้า 90)
การใช้นามสกุลของหญิงมีสามีและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย : ถ้าลูกของเราเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา วิธีการคือการไปร้องต่อศาลให้พิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ต้องแต่งตั้งทนายดำเนินการยื่นคำร้องที่ศาล ถ้าหากมีคนคัดค้าน ต้องมีการสืบพยานและใช้เวลาพิจารณาคดีนานๆ กว่าคดีจะแล้วเสร็จ (สำนักงานกฎหมายยุติธรรมกับกฎหมายสามัญประจำบ้าน,2555,หน้า 93)
การสมรสที่เป็นโมฆะ : คือการสมรสที่เสียเปล่า ไม่มีผลใดๆทางกฎหมาย
โดยการสมรสที่เป็นโมฆะจะไม่สามารถนำมาอ้างได้ ยกเว้นการจดทะเบียนสมรสซ้อน การสมรสที่เป็นโมฆะจะต้องได้รับคำตัดสินของศาลเท่านั้น หากไม่ใช่คำตัดสินของศาลจะถือว่ายังเป็นสามีภรรยาตามกฎหมายตามปกติ เพื่อไม่ให้เกิดการนำมาอ้างหรือต่อรองของอีกฝ่าย
1.สาเหตุ คือ 1.สมรสซ้อน 2.การสมรสกับบุคคลวิกลจริต
3.การสมรสระหว่างญาติสนิท 4.การยินยอมหรือไม่ยินยอมของคู่สมรส
2.ผู้มีสิทธิ์ร้องขอต่อศาลให้การสมรสเป็นโมฆะ : อัยการให้สิทธิ์ ผู้ที่มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ หรือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ตัวผู้สมรสเอง
3.ผลเมื่อศาลชี้ว่าเป็นโมฆะ
- เรื่องทรัพย์สินจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆในทางสามีภรรยาระหว่างสมรส
- เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว กฎหมายเห็นว่าสามีภรรยาไม่อาจกลับสู่สภาพเดิมได้ การสมรสจึงเป็นโมฆะตั้งแต่วันพิพากษาเป็นต้นไป
- ถ้ามีบุตรด้วยกัน เมื่อตัดสินว่าเป็นโมฆะ กฎหมายสันนิษฐานว่าบุตรจะเป็นของฝ่ายชายหรือดีตสาม
การหย่า คือ การสิ้นสุดของการสมรถ หย่าได้ 2 วิธี
1.หย่าโดยความยินยอม : ทั้งคู่ตกลงหย่ากันได้เอง ต้องทำเป็นหนังสือรับรอง มีพยานลงชื่ออย่างน้อย 2 คน ถ้าเคยจดทะเบียนสมรสก็ต้องไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอด้วย การหย่านั้นจึงจะสมบูรณ์
ผลต่อบุตร : ตกลงกันเองว่าใครจะเป็นผู้ปกครองบุตรตามกฎหมายและใครจะจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู ถ้าตกลงกันเองไม่ได้ ศาลจะเป็นผู้ชี้ขาด
ผลต่อสามีภรรยา : ความสัมพันธ์จะสิ้นสุดลงทันที ไม่มีพันธะใดๆต่อกันอีก
ผลต่อทรัพย์สิน : แบ่งสินสมรสกันคนละครึ่ง โดยเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ตอนจดทะเบียนหย่าเป็นเกณฑ์
2.หย่าโดยคำพิพากษาของศาล : มีคนใดคนหนึ่งไม่ยอมหย่า โดยมีเหตุผลคือ
สามีอุปการะเลี้ยงดู ยกย่องหญิงอื่นเป็นภรรยาหรือภรรยามีชู้
สามีหรือภรรยาประพฤติชั่ว เช่น ทอดทิ้ง / ติดคุกเกิน 1 ปี / หมิ่นประมาทเหยียดหยาม ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ทำให้ได้รับความอับอาย โดนดูถูกเกลียดชัง ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเกินควร
ศาลจะตัดสินให้หย่าตั้งแต่มีคำพิพากษาของผู้พิพากษาถึงที่สุด ถึงแม้จะไม่มีการจดทะเบียนสมรสก้ตาม ดังนั้นความเป็นสามีภรรยาจะขาดกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป
ผลต่อบุตร : ส่วนใหญ่ฝ่ายชนะคดีจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร หรืออาจมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น ค่าอุปการะเลี้ยงดู ศาลจะเป็นผู้กำหนด
ผลต่อสามีภรรยา :ถึงแม้จะมีคำพิพากษาให้หย่า แต่กฎหมายบางประการก็ยังคุ้มครองอยู่ คือ
1.มีสิทธิ์เรียกค่าทดแทนได้จากสามีหรือภรรยาที่อุปการะชู้ แล้วแต่กรณี ซึ่งจะเป็นความผิดของผู้ที่มีชู้
2.มีสิทธิ์เรียกค่าเลี้ยงชีพได้ ต้องเข้าหลักเกณฑ์คือการหย่ากันต้องเป็นความผิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และการหย่านั้นทำให้อีกฝ่ายยากจนเพราะไม่มีรายได้จากทรัพย์สินหรืองานที่เคยทำร่วมกันตอนสมรส แต่สิทธินี้กำหนดว่า จะต้องฟ้องหรือฟ้องแย้งในคดีฟ้องหย่าด้วย ไม่งั้นหมดสิทธิ์
กฎหมายแรงงานหญิง
ปัจจุบันแรงงานหญิงทำงานแทบทุกสาขาอาชีพ แต่เนื่องด้วยความแตกต่างของสรีระระหว่างชายหญิง โดยเฉพาะความเข้มแข็งและการมีครรภ์ของเพศหญิง รัฐบาลจึงออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานหญิงเป็นกรณีพิเศษ เพื่อไม่ให้ทำงานหนักเกินตัวและมีความปลอดภัยในการทำงานงานที่ห้ามลูกจ้างหญิงทำ : 1.งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างใต้กิน ในน้ำ ในถ้ำ อุโมงค์ หรือ ปล่องภูเขา
2.งานบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้น ตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
3.งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ
4.งานยก แบก หาม หาบ ทุบ ลาก เข็นของที่หนักเกิน 25 กิโลกรัม
งานลักษณะพิเศษที่ให้ผู้หญิงทำได้
วิชาชีพเกี่ยวกับการสำรวจ ขุดเจาะ กลั่นแยก การผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมหรือปิโตรเคมีได้ ถ้างานนั้นไม่มีสภาพอันตรายต่อร่างกายหรือสุขภาพของผู้หญิง และงานดังกล่าว สามารถทำงานล่วงเวลาได้ด้วย
สิทธิการทำงานของชายและหญิงต้องเท่าเทียมกัน
1.นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างชายหญิงเท่าเทียมกัน เว้นแต่สภาพที่ไม่อาจให้ผู้หญิงทำได้
2.กรณีที่งานมีลักษณะคุณภาพอย่างเดียวกันหรือปริมาณเท่ากัน นายจ้างต้องกำหนดค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานวันหยุด ให้เท่าเทียมกับผู้ชายทุกประการ
3.ประกาศกำหนดอัตราจ้างขั้นต่ำ ให้ใช้บังคับแก่นายจ้าง และลูกจ้างไม่ว่าจะเป็นหญิงสัญชาติหรือศาสนาใด
ผู้หญิงมีครรภ์กับการทำงาน
งานที่ห้ามลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทำ
1.งานเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน
2.งานที่ขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ
3.งานยก แบก หาม ลาก หรือเข็นของหนักเกิน 15 กิโลกรัม
4.งานที่ทำในเรือ
5.การทำงานล่วงเวลา 22.00-06.00 น.
6.การทำงานในวันหยุด
**** ลูกจ้าวหญิงมีครรภ์ที่ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ งานการเงินหรือบัญชี ทำงานล่วงเวลาได้ โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวเป็นคราวๆไป
สิทธิการลาคลอดและการทำหมัน
1.ลูกจ้างหญิงมีครรภ์มีสิทธิ์ลาคลอดและหลังคลอด หนึ่งครรภ์ได้ไม่เกิน 90 วัน นายจ้างจะจ่ายค่าจ้างตามวันลาคลอดในวันทำงานให้ แต่ไม่เกิน 45 วัน
2.มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่อาจทำหน้าที่เดิมได้ อาจให้นายจ้างพิจารณาเปลี่ยนงานที่เหมาะสมได้เป็นการชั่วคราว หรือ หลังคลอดได้
3.ลูกจ้างสามารถลาทำหมันได้ตามเวลาที่แพทย์กำหนดและออกใบรับรอง โดยจะได้รับค่าจ้างในวันลาวันนั้นด้วย
การคุ้มครองการล่วงละเมิดทางเพศ
ห้ามไม่ให้นายจ้าง หัวหน้างาน ผู้คุมงาน หรือตรวจงาน กระทำการล่วงเกิน คุกคามหรือก่อความเดือนร้อนรำคาญทางเพศต่อลูกจ้าง มิฉะนั้นจะมีความผิดตามกฎหมายทางเพศ
กฎหมายการทำแท้ง
การทำแท้ง ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ยกเว้นเป็นท้องที่มีผลจากการถูกข่มขืน หรือ การท้องจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของคนมีครรภ์เอง บทลงโทษสำหรับการทำแท้ง
1.หญิงใดทำให้ตัวเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำแท้ง (ตัวผู้มีครรภ์) ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม (เช่น หมอทำแท้งเถื่อน) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
- ถ้าหญิงผู้แท้งได้รับการบาดเจ็บสาหัสอย่างอื่นด้วย ต้องระวางโทษไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาท
- ถ้าหญิงผู้แท้งได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
3.ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาท
- ถ้าหญิงผู้แท้งได้รับการบาดเจ็บสาหัสอย่างอื่นด้วย ต้องระวางโทษไม่เกิน 1-10 ปี ปรับไม่เกิน 2,000-20,000 บาท
- ถ้าหญิงผู้แท้งได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษไม่เกิน 5-20 ปี ปรับไม่เกิน 10,000-40,000 บาท
4.ผู้ใดเพียงแค่พยายามกระทำตามข้อ 1 , 2 ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
5.ตามข้อ 1 – 2 ถ้าผู้กระทำเป็นแพทย์ และเหตุอันสมควรให้ทำแท้ง เช่น สุขภาพของผู้มีครรภ์ หรือ ผู้มีครรภ์ที่มาจากคดีข่มขืน ผู้กระทำนั้นจะไม่มีความผิด
การแจ้งความร้องทุกข์
ไปแจ้งความร้องทุกข์ตามกฎหมายภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ ที่สถานีตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวัน และรอการสืบสวนสอบสวน โดยคดีทางเพศนั้น หากเป็นคดีอาญาแผ่นดิน เช่น การข่มขืนหญิงที่อายุต่ำกว่า 15 ปี การรุมโทรม การฆ่าข่มขืน เจ้าพนักงานจะสามารถฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องรอการร้องทุกข์จากเจ้าทุกข์ ส่วนคดีอาญาอื่นๆ ต้องร้องทุกข์เองภายใน 3 เดือน เมื่อฟ้องแล้วอายุความจะขยายไปตามประเภทของกฎหมายที่บัญญัติไว้