การเขียนคำขวัญ
ปภาวรินท์ รัตน์วิเศษฤทธิ์
คำขวัญ หรือสโลแกน (Slogan) คือถ้อยคำสั้นๆ ที่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาล
ใจ หรือโน้มน้าวใจ
ในปัจจุบัน มีการใช้คำขวัญอย่างกว้างขวางตามสื่อหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ แผ่นป้ายโปสเตอร์ และในงานประชาสัมพันธ์สถาบันและกิจการงานต่างๆ
เช่น การรณรงค์รักษาความสะอาด การหาเสียงเลือกตั้ง คำขวัญประจำพรรคการเมือง คำขวัญวันเด็ก
เป็นต้นคำขวัญมักเป็นถ้อยคำขนาดไม่ยาวนัก อาจมีเพียง ๑ วรรค ถึง ๔ วรรค แต่ละวรรคมีคำตั้งแต่
๒ คำขึ้นไป ถ้อยคำในแต่ละวรรค และระหว่างวรรคอาจมีสัมผัสคล้องจองหรือไม่ก็ได้
ลักษณะคำขวัญที่ดี
คำขวัญที่ดี คือ คำขวัญที่กระทบใจผู้รับสาร ทำให้ผู้รับสารสนใจและจดจำคำขวัญได้ทันที
คำขวัญที่ดีมีลักษณะดังนี้
๑. เป็นถ้อยคำที่สั้นกะทัดรัด อาจมีจำนวนคำตั้งแต่
๒ คำขึ้นไป แบ่งเป็นวรรค อาจมีตั้งแต่ ๑วรรค ถึง ๔ วรรค เช่น “เมาไม่ขับ” (๑ วรรค) “รักประชาธิปไตย
ต้องไปเลือกตั้ง” (๒ วรรค) “ยาเสพติด ผู้ซื้อตาย
ผู้ขายติดคุก” (๓ วรรค) “อากาศเป็นพิษ ชีวิตจะสั้น
ต้นไม้เท่านั้น ทั้งกันทั้งแก้” (๔วรรค)
๒. มีใจความสำคัญหรือเป้าหมายในคำขวัญเพียงประการเดียว เพื่อให้ผู้รับสารจดจำได้ง่ายไม่สับสน
เช่น
“ก้าวล้ำไปในอนาคต” เน้นความทันสมัยล้ำหน้าเทคโนโลยีปัจจุบัน
๓. มีการแบ่งจังหวะของคำสม่ำเสมอ หมายถึง แบ่งคำเป็นวรรคเท่าๆ
กัน เช่น
“สวมแพนแสนเพลิน” (วรรคละ ๒ คำ) “หม้อข้าวหรู คู่โต๊ะสวย” (วรรคละ ๓ คำ) “ประเทศไทยจะรุ่งเรืองจากพลเมืองไปเลือกตั้ง” (แบ่งจังหวะแบบกาพย์กลอน)
๔. มีการเล่นคำสะดุดตา ได้แก่การสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะเพื่อให้เกิดความคล้องจองและช่วยให้ง่ายต่อการจดจำ
เช่น
“รู้รัก สามัคคี” (สัมผัสสระ) “ทุกข์ต้องรู้ สมุทัยต้องละ นิโรธต้องแจ้ง มรรคต้องเจริญ” (สัมผัสพยัญชนะ)
๕. หากเป็นคำขวัญโฆษณาสินค้า มักจะมีชื่อสินค้าหรือบริการอยู่ในคำขวัญนั้นด้วย
เช่น “สวมแพน แสนเพลิน” อนึ่ง แม้ผู้ทำงานโฆษณาในปัจจุบันถึงร้อยละ
๙๐ จะเห็นว่า การเล่นคล้องจองเป็นสิ่งที่ล้าสมัยหมดความนิยมไปแล้ว แต่ในงานวิจัยเรื่อง
คำขวัญในภาษาไทย ของนววรรณ พัทธุเมธา และคณะ เมื่อพ.ศ.
๒๕๒๗ พบว่า ในจำนวนคำขวัญที่รวบรวมได้ ๑,๗๔๔ คำขวัญนั้น
เป็นคำขวัญที่มีสัมผัสถึง๑,๐๗๙ คำขวัญ หรือประมาณร้อยละ ๖๒ ของคำขวัญทั้งหมด
และคำขวัญที่มีผู้จำได้มักมีสัมผัสคล้องจอง คิดเป็นร้อยละ ๖๘.๗
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment